Wednesday, November 13, 2013

เทพมิคาเอล (michael)

เทพมิคาเอล (michael) 
Michael (มิคาเอล)
เทพองค์นี้มีเพียงน้อยคนนักที่รู้ตัวตนที่แท้จริงในจิตใจของท่าน ประวัติความจริงทั้งหมดที่ได้บอกความจริงให้รู้ว่าท่านเป็นผู้ที่อิจฉาและริษยาในตัวของ Lucifer ได้ถูกลบออกไปจากประวัติศาสตร์ โดยกลุ่มผู้พิทักษ์ความเชื่อในศาสนาคริสและผู้เขียนพระคัมภีร์หมดแล้ว ซึ่ง Lucifer นั้นถือได้ว่าเป็นอัครเทวดาองค์หนึ่งและเป็นอัครเทวดาองค์แรกที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาให้มีรูปงามมากที่สุดเหนือเทวดาทั้งหมด เพื่อต้องการให้เป็นผู้ช่วยงานส่วนใหญ่ของพระองค์อย่างใกล้ชิด และได้รับความรักจากพระองค์มากที่สุด (ถึงแม้ถือว่าเป็นอัครเทวดาองค์หนึ่งแต่ก็ไม่ได้จัดให้อยู่ใน ใน อัครเทวดาเพราะบทบาทส่วนใหญ่จะทำงานใกล้ชิดพระเจ้ามากกว่า)และเพราะสาเหตุนี้เองที่ทำให้มิคาเอลเกิดความริษยาและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดของการใส่ร้าย Lucifer และทำให้เกิดเหตุการณ์ the fallen Angel ครั้งแรกในสงครามสวรรค์ ที่Lucifer กับเทวดาทั้งหลายที่เชื่อในความดีของ Lucifer ได้ร่วมกันต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความจริงในสิ่งที่ไม่ได้ทำผิดอย่างที่ถูกกล่าวหาและใส่ร้ายโดยมิคาเอล จนในที่สุดก็ได้เกิดความผิดพลาดครั้งแรกขึ้นบนสวรรค์และการตัดสินใจผิดด้วยอารมณ์โทสะของพระผู้เป็นเจ้าจึงทำให้เกิด SATAN LUCIFER และเทวดาต้องคำสาปทั้งหลายที่อยู่ข้าง Luciferให้มีสภาพเป็น Demons และต้องตกสวรรค์ในที่สุด

ปล.
Michael = Mi-cha-el มิ-คา-เอล
Michael = ไมเคิ้ล ( ฝรังเศสอ่านมิเชล )
สรุป เซนต์มีคาเอล , เซนต์ไมเคิ้ล , เซนต์มิเชล คือคนเดียวกัน

ลูซิเฟอร์ (Lucifer)


ลูซิเฟอร์ (Lucifer) จอมมารแห่งนรก พวกเราคุ้นเคยกับชื่อนี้มาก อาจจะเพราะว่าเค้ามีบทบาทเยอะในพระคัมภีร์ คำว่าลูซิเฟอร์นั้น เป็นคำละติน มาจากสองคำ คำว่า Lux ซึ้งแปลว่าแสงสว่าง และ Ferrer แปลว่า ผู้นำมา หรือ ผู้ถือ ซึ่งถ้าเอามารวมกันก็จะแปลว่า "ผู้นำมาซึ่งแสงส่วง" หรือถ้าจะแปลตามภาษาชาวบ้านอีกทีก็คงจะแปลว่า รุ่งอรุณ หรือ ดาวแห่งความแสงสว่าง อะไรทำนองนั้น

อดีตอัคระเทวฑูตองค์นี้ พระเป็นเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้นมาจากแสงสว่างและให้ความเอ็นดูเป็นอย่างมาก ถือได้ว่า เป็นใหญ่รองมาจากพระเป็นเจ้า ถือได้ว่าเป็นอัคระเทวฑูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนั้นเลยก็ว่าได้ ทว่าด้วยความที่นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่เหนือใคร ทำให้ก่อกบฏหักหลังพระเป็นเจ้า และในที่สุดก็ตกจากสวรรค์

กลายมาเป็น"ปีศาจ"

ตามตำนานของชาวฮิบรู ลูซิเฟอร์ ได้ถูกยุยงโดยซาตานอีกทีนึง (เห็นได้ว่าตำนานฮิบรู ลูซิเฟอร์ และ ซาตานเป็นคนละคนกัน) ซึ่งในพระคัมภีร์ของฮิบรูนั้น ซาตานก็เป็นหนึ่งในอัคระเทวฑูตด้วย ชื้อว่า Satan-Sataniel (หรือSamael?) ว่ากันว่าซาตานต้องการที่จะเป็นที่สุดในจักรวาล เลยได้ยุยง (บางก็บอกสิงสู่) เทพบางองค์ ทำให้เป็นมารร้าย

ตามตำนานของชาวคริสต์ ในคัมภีร์The Old Testamentได้แปลคำว่า Helel เป็น ลูซิเฟอร์ และได้โยงกับปีศาจร้ายที่มีร่างเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ที่ลอบเข้ามาในสวนอีเดนและหลอกลวงอดัมและอีฟ

ในยุคกลาง นักบุญเจอโรม (St.Jerome)หลวงพ่อในศาสนะจักร คิดว่า ลูซิเฟอร์ ไม่ใช่ชื่อที่ดีสำหรับ "ปีศาจ" และได้เปลี่ยนมาเป็น "ซาตาน" จนในที่สุด ทั้งสองก็ได้รวมมาเป็นคนเดียวกัน ซึ้งจะเห็นได้ว่าในพระคัมภีร์บางทีก็ชื่อลูซิเฟอร์ บางทีก็ชื่อ ซาตาน

ในตำนานกรีกบางที คำว่า ลูซิเฟอร์ เปลียบได้กับดาววีนัส (ซึ่งลูซิเฟอร์เป็นชื่อเดิมของดาววีนัส)

ในบางตำนานของชาวเพแก้น หรือ วิคคา บอกไว้ว่า เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ก็ได้ให้ความดูแลสนใจในตัว มนุษย์มากกว่าผู้อื่นได ซึ่งมากกว่าตัวลูซิเฟอร์เองด้วย ทำให้เกิดความรู้สึกน้อยใจ และประชดพระเป็นเจ้าโดยการนำพรรคพวกมาก่อกบฏ ในบางความเชื่อของชาวเพเก้น เชื่อกันว่า ลูซิเฟอร์นั้นอยู่ที่ยุโรปและเอเชีย



ทุกวันนี้ มีลัทธิเกิดขึ้นมาใหม่ ที่มีลูซิเฟอร์เป็นเทพของพวกเขา และเรียกตัวเองว่า ลูซิเฟอเรี่ยน (Luciferains) ตามชื่อศาสดาของพวกเขา Lucifer Calaritanus บิช๊อปของลูซิเฟอเรี่ยน ซึ่งเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ไม่ใช่ผู้ที่ถูกเลือกและเป็นเทพ แต่คือลูซิเฟอร์นั้นเอง (เข้าข่ายพวกลัทธิบูชาซาตาน หรือ บูชาปีศาจ) ในคัมภีร์ของพวกเค้า ได้บอกเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ "ก่อนจะร่วงหล่น" หรือ Before the fall ซึ่งเล่าเรื่องราวไว้ว่า เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ลูซิเฟอร์นั้นเอ็นดูมนุษย์เป็นอย่างมากและหลงไหลกับความใสซื่อบริสุทธิ์ของมนุษย์ แต่เป็นเพราะว่าการที่มนุษย์นั้น ใสซื่อของมนุษย์นั้นเอง ทำให้มนุษย์ไม่รู้สึกถึงตัวตนของพระเป็นเจ้า ในคัมภีร์เลยบอกไว้ว่า พระเจ้าได้เสกให้งูมาล่อลวงมนุษย์ ให้กินผลไม้แห่งปัญญา พอมนุษย์ได้กินเข้าไป ก็ได้รู้สึกถึงพระเป็นเจ้า และ ได้ขับออกจากสวนอีเดนไป พอลูซิเฟอร์รู้เรื่องเข้าก็ได้โกรธและก่อกบฏขึ้น นี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำมาเพื่อโน้มน้าวจิตใจของสาวกลัทธิลูซิเฟอเรี่ยน ซึ่งต่อมาได้เป็นลัทธินอกรีต และ มีกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ บางกลุ่มก็ได้ใช้ยาเสพติด หรือ เสียงเพลงเพื่อนกล่อมประสาท

ทำไมลูซิเฟอร์ถึงได้เป็นตัวแทนของบาปแห่งความหยิ่งพยองทุกๆท่านก็คงรู้แล้วสินะครับ เป็นเพราะลูซิเฟอร์นึกว่าตนเองเก่งกว่าใครและมีพลังมากกว่าคนอื่น ทำให้หลงผิดและก่อกบฏขึ้น ทำให้ก่อสงครามสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

โดยลูซิเฟอร์ได้ชักจูงเทพ 2 ใน 3 (บางก็ว่า 3/5) ของเทพบนสวรรค์ มาต่อสู้กับกองทัพสวรรค์ นำทับโดย

อัคระเทวฑูต มิคาเอล และได้พ้ายแพ้ไปในที่สุด

ในตำนานบอกไว้ว่าลูซิเฟอร์นั้น มักจะปรากฏกายในรูปของมังกร หรือ สิงโต และมีลูกน้องที่พักดีเสมือนแขนทั้งสองข้าง ชื่อว่า Satanackia และ Agalierap

สัญลักษณ์ของลูซิเฟอร์มักจะใช้เป็น กางเขนกลับหัว

เลขแห่งความโชคร้าย หรือเลขประจำตัวลูซิเฟอร์คือ 666 ซึ่งเลขแห่งความโชคดีหรือเลขของพระคริสต์ คือ 333 


Friday, November 1, 2013

เมดูซ่า




ในตำนานของกรีกนั้น เมดูซ่า (อังกฤษ: Medusa) เป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ (จ้องตา) คนผุ้นั้นจะกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซ่าจะมีความร้ายกาจดังที่เป็นที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซ่านั้นเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก



เมดูซ่า เป็นหนึ่งในลูกสาวทั้งสามของ เมทิสซึ่งเมทิสเป็นเจ้าแห่งสติปัญญาและสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆได้มากมาย แต่เดิมลูกทั้ง 3 ของเมทิสเป็นคนที่สวยงามมาก แต่แล้ววันหนึ่งเมทิสแม่ของเมดูซ่าถูกเทพ ซุส (Zeus) ข่มขืนและกลืนกินลงท้องไป และซุสจึงได้ใช้สติปัญญาและความสามารถทางการแปลงร่างของเมทิสเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง พลังอำนาจนั้นทำให้เทพซุสยิ่งใหญ่เหนือเทพทั้งปวง และต่อมาเทพธิดา อาเธน่า (Athena) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการที่พลังของเมทิสทะลักออกมาทางหน้าผากของซุส เมื่อเอเทน่าได้กำเนิดขึ้นพร้อมกับความสามารถทางสติปัญญาของเมทิสผู้เป็นแม่ และเอเทน่าก็ถือเมดูซ่าพี่น้องร่วมสายเลือดแม่ เป็นศัตรูคนสำคัญ อยู่มาวันหนึ่งเมดูซ่าที่เป็นสาวงาม มีชายหลายคนหมายปองเป็นเจ้าของ ก็ได้ไปบูชาเทพเอเทน่ายังวิหารของเอเทน่า แล้วเทพโพไซดอน (Poseidon) ก็เห็นเมดูซ่าที่มีหน้าตาสวยงามมาก จึงต้องการครอบครองเมดูซ่าเป็นของตน จึงใช้กำลังขืนใจเมดูซ่า อาเทน่าเห็นดังนั้นจึงใส่ความเมดูซ่าว่า ลบหลู่เอเทน่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายหน้าตาน่าเกลียด และสาบให้ผมสวยงามของเมดูซ่าเป็นงูเต็มหัวเมดูซ่า เมื่อเป็นเช่นนี้เมดูซ่าต้องได้รับความอับอาย โกรธแค้นจึงได้ใช้ความเกลียดชังนั้นมาเป็นพลังในการสาบคนที่มองหน้าเธอให้กลายเป็นหินไป เพื่อตอบแทนสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เมดูซ่าจึงกลายเป็นมารร้ายที่สุดตนนึงในตำนานกรีก



สุดท้ายเมดูซ่าก็ถูกเพอร์ซีอุสฆ่าตายจากการถูกเพอร์เซอุสใช้ดาบฟันคอขาด ซึ่งเอเทน่าเป็นคนอยู่เบื้องหลังในการตายของเมดูซ่า ที่เอเทน่าให้เพอร์เซอุสไปฆ่าเมดูซ่าแทนนั้นเพราะอาเทน่าเป็นเทพแล้วจึงใช้อำนาจในทางที่ผิดได้ไม่มาก จึงใช้มือของเพอร์เซอุสในการทำการเรื่องนี้



เพิ่มเติม



เมดูซ่า เป็นชื่อที่ทำให้นึกถึงนางมารร้ายที่มีผมเป็นงู



แต่คำว่า เมดูซ่า – Medusa เป็นคำที่มีมานานมากแล้ว ที่ยังคงเป็นรากศัพท์ไว้ในหลายๆภาษาโบราณ เช่น ในภาษาสันสกฤต คือ "เมธา ในภาษากรีก คือ Metis และในภาษาอียิปต์โบราณคือคำว่า Met หรือ Maat มีแหล่งกำเนิดจากตำนานของประเทศลิเบีย ที่นำเข้ามารวมในตำนานกรีกทีหลัง เป็นที่นับถือของชาวลิเบียโบราณว่าเป็น เทพแห่งงู หรือเจ้าป่าเจ้าเขาผู้มีอำนาจดุร้าย ในยุโรปสมัยโบราณยุคหิน งู ยังไม่ได้เป็นสัญญลักษณ์ของความชั่วร้าย ซึ่งเป็นทัศนคติตามคริสตศาสนาที่เกิดขึ้นมาภายหลัง หากเป็นสัญญลักษณ์ของพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ และก็อาจเป็นไปได้ที่ว่า เมดูซ่า เจ้าแม่ผู้ทรงพลังจากสังคมโบราณ เป็นเค้าเงื่อนที่ชาวอินเดียนำไปผูกเป็น เจ้าแม่ทุรคา หรือ กาลี ก็ได้



เมดูซ่า นั้น แต่เดิมทีหลายพันหลายหมื่นปีมาแล้วก็คงเป็น เจ้าป่าเจ้าเขาที่มีอำนาจ มีผมขอดหยิกหยักถักเป็นเปียเล็กๆทั่วทั้งหัวแบบชาวอัฟริกัน (แบบที่เรียกว่า dreadlocks) ที่ดูคล้ายงูในสังคมดึกดำบรรพ์ ที่ยังนับถือยกย่องให้ผู้หญิงเป็นใหญ่ ภายหลังที่สังคมกรีกกลายมาให้ผู้ชายเป็นใหญ่ ภาพพจน์ของ เมดูซ่า ก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เนื่องจากเทพบุรุษเข้ามาแทนที่เทพสตรี ในสังคมกรีก ในช่วงพันปีแรกของอาณาจักรกรีก จนมาถึงประมาณ ๖๐๐ ปีก่อนคริสตศตวรรษ วิหารบูชา เมดูซ่า ก็ถูกทำลายลงไปไม่เหลือซาก ชาวกรีกคงเอามาผูกเป็นตำนานให้เป็นนางมารร้ายไปในภายหลัง ชื่อของเธอ ก็กลายไปเป็นเพียงตำนานแห่งความพ่ายแพ้ ที่ถูกฆ่าโดย เพอร์ซีอุส แล้วชาวกรีก ก็ถ่ายทอดพลังอำนาจของ เมดูซ่า มาให้ เทพอะธีน่า ผู้เป็นเทพสตรีตัวอย่างของสังคม ที่ชาวกรีกต้องการใช้เป็นแบบอย่าง คือรักษาพรหมจรรย์ และรับใช้ครอบครัว ยึดมั่นในความซื่อสัตย์จงรักภักดีและเทิดทูน เทพเซอุส พระบิดา เหนือตนเอง ตามตำนานกรีกนั้น เมทิส แม่ของเมดูซ่าและพี่น้องอีกสองสาว ทั้งเมดูซ่าและพี่สาวแต่เดิมนั้น เป็นสาวงามมาก ต่อมา เมทิส แม่ของนาง ถูก เทพเซอุส ข่มขืน แล้วกลืนลงท้องไป เมทิส เป็นเจ้าแห่งปัญญา และสามารถแปลงร่างต่างๆได้ เซอุส จึงอาศัยพลังปัญญาและเวทย์มนต์ของ เมทิส มาเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง ช่วยให้ เซอุส มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าเทพทั้งปวง และยังสามารถแปลงร่างได้ดังใจนึก ไปเอาสตรีมากมายเป็นภรรยาได้ในภายหลัง พลังของ เมทิส สำลักออกทางหน้าผากของเซอุส กลายเป็นเทพธิดา อะธีน่า ผู้ได้รับมรดกทางปัญญาจาก เมทิส ผู้เป็นแม่ ตั้งแต่เกิดมา อะธีน่า ก็ถือ เมดูซ่า เป็นศัตรูคู่แค้นที่จักต้องพิฆาตให้ดับสิ้น เพราะในบรรดาพี่น้อง มีแต่เมดูซ่า ผู้เดียวที่เป็นมนุษย์ พี่สาวชาวกอร์กอนทั้งสองร่วมท้องแม่ของเธอ มีสถานะเป็นเทพ จึงฆ่าไม่ตาย อะธีน่า จึงหันมาหาทางทำลาย เมดูซ่า แต่ผู้เดียวในบรรดาลูกแม่เดียวกันทั้งหมด วันหนึ่งใน วิหารอะธีน่า ที่ชาวกรีกสร้างไว้บูชาสักการะแต่ละเทพเป็นวิหารๆไป เทพอะธีน่า เป็นเทพอุปถัมภ์ของสาวพรหมจารี ที่สตรีพรหมจรรย์ชาวมนุษย์มักไปบูชา สาวงาม เมดูซ่า ที่มีชายมากหลายหมายปอง ก็ไปบูชา เทพอะธีน่า ยังวิหารตามปกติ เทพโพไซดอน ได้ประจักษ์เห็นความงามของนางแล้ว ก็ต้องการครอบครองโดยใช้กำลังขืนใจ อะธีน่า จึงได้โอกาสใส่ความว่า เมดูซ่า บังอาจลบหลู่นางด้วยการสู่สมในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ แล้วฉวยโอกาสสาบ เมดูซ่า ให้กลายเป็นมารร้ายน่าเกลียดน่ากลัว และสาปให้ผมอันสวยงามลือชื่อของนาง กลายเป็นงูเต็มหัว จากสาวงามเลื่องชื่อ ต้องมากลายเป็นมารร้ายที่น่าชิงชังขยะแขยง จนใครที่ได้เห็น จะต้องกลายเป็นหินไป เมดูซ่า ทั้งชอกช้ำ ทั้งอับอาย ก็แปรความเจ็บช้ำที่ได้รับให้กลายเป็นความเคียดแค้นชิงชัง ต้องการทำร้ายหมายมาดทุกชีวิตที่ขวางหน้า โดยทำให้กลายเป็นหินไปจากการมองหน้าของนาง เป็นการตอบโต้ความอยุติธรรม ที่ทำให้นางต้องรับ ชะตากรรมอันโหดร้าย เมดูซ่า จึงกลายเป็นมารร้าย ผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึง มากที่สุดในตำนาน กรีก มีทั้งภาพสลัก รูปปั้นต่างๆของเมดูซ่าตามวิหารต่างๆมากมาย





ผู้ที่ฆ่า เมดูซ่า ได้คือ เพอร์เซอุส เมื่อ เพอร์ซีอุส ตกหลุมรัก โพลีเดคเทส ก็ต้องออกล่าหา เมดูซ่า เพื่อตัดหัวมาตามสัญญาที่ให้ไว้กับ เทพอะธีน่า ซึ่งรอคอยหาคนมากำจัด เมดูซ่า ให้อยู่นานแล้ว เพราะความเป็นเทพของนาง ทำให้ไม่สามารถไปแสดงอำนาจพาลได้ถนัด ยังต้องอาศัยเหตุผลข้ออ้าง และน้ำมือคนอื่นไปกำจัดศัตรูให้ กี่คนๆมาแล้วที่ต้องการไต่เต้าสร้างวีรกรรม ที่ได้กลายเป็นหินไปหมด ทันทีที่ เพอร์ซีอุส มาเข้าทางตน อะธีน่า ก็กุลีกุจอปรากฏตัวขึ้นทันที เพื่อช่วยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนกำจัด เมดูซ่า ของนางโดยราบรื่น อะธีน่า จึงช่วยบอกทางให้ เพอร์ซีอุส ไปยัง ซามอส อันเป็นที่พำนักของ นางกอร์กอนสามพี่น้อง เทพอะธีน่า ก็ได้ประทานโล่ห์ที่เป็นเงามันวับเหมือนกระจก แล้วช่วยให้ภาพปรากฏของนางมารทั้งสาม เพื่อ เพอร์ซีอุส จะได้เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร และเตือน ไม่ให้มองหน้าเมดูซ่าตรงๆ เพราะจะทำให้กลายเป็นหินไปเสียก่อน จากนั้น อะธีน่า ก็ให้อนุชา คือ เทพเฮอร์มีส (ที่ชาวโรมันเรียกว่า เมอร์คิวรี่ นั่นเอง) ซึ่งก็เป็นเทพบุตรของ เซอุส อีกผู้หนึ่ง ไปนำ ดาบโค้ง ของโครนัสมาให้



เพอร์ซีอุส เพื่อใช้ฆ่า เมดูซ่า เพื่อให้เป็นหลักประกันว่า เพอร์ซีอุส จะปฏิบัติการได้สำเร็จ ก็ต้องอาศัยของวิเศษอื่นๆอีก อะธีน่า จึงช่วยบอกอุบายรายละเอียด และชี้ทางให้ เพอร์ซีอุส ไปหานางแม่มดสามพี่น้องแห่ง เกรยี ผู้เป็นแม่เฒ่ามาตั้งแต่เกิด นางทั้งสามมีตาเพียงดวงเดียว และมีฟันเพียงซี่เดียว ต้องแบ่งกันใช้ แต่ก็ทะเลาะเบาะแว้งแย่งตาแย่งฟันกันมาชั่วชีวิต เพอร์ซีอุส จึงอาศัยความชุลมุนจากการแก่งแย่งนั้น เข้าไปขโมยดวงตาและฟันพวกแม่มดเกรยีมา เพื่อบังคับให้นางทั้งสามบอกทางไปหานางนิ้มฟ์ผู้ใจดีแห่งอุตรทิศ แล้วจึงจะคืนตาและฟันให้ เมื่อ เพอร์ซีอุส รู้ทางแล้ว ก็ไปหา นางนิมฟ์ผู้ใจดี ผู้ให้ยืมรองเท้ามีปีกที่ทำให้เหาะได้ หมวกวิเศษที่ทำให้ล่องหนได้ และกระเป๋าวิเศษเพื่อไว้ใส่หัวเมดูซ่า เมื่อได้ของวิเศษต่างๆแล้ว เพอร์ซีอุส ก็เข้าไปยังถ้ำของนางมารกอร์กอนสามพี่น้อง เมื่อไปถึงก็พบว่า เมดูซ่า กำลังนอนหลับกับพี่สาวทั้งสอง เพอร์ซีอุส ก็ได้ อะธีน่า ที่ตามมาช่วยอยู่ตลอดเวลา ช่วยถือโล่ห์ให้ จากภาพเงาของเมดูซ่าในโล่ห์มันวับ เพอร์ซีอุส ก็ตัดหัว เมดูซ่า ขาดแล้วเก็บใส่ถุงวิเศษทันที เลือดไหลนอง ออกจากคอของ เมดูซ่า ก่อกำเนิดเกิดออกมาเป็น ม้ามีปีก เพกาซัส แล้ว เมดูซ่า ก็จบสิ้นความระทมทุกข์ทรมาน จากชีวิตอันโหดร้ายของเธอ ส่งผลให้ เพอร์ซีอุส กลายเป็นวีรบุรุษอมตะ ผู้ปราบมาร ของชาวกรีกไป

Friday, August 30, 2013

ต๋าจี


ซูต๋าจี หรือในการ์ตูนตำนานเทพประยุทธ์แปลเป็น หลาจี่

ซูต๋าจี ในบทบาทของนางจิ้งจอกนั้น เกิดจากวิญญาณของจิ้งจอกเก้าหางที่เจ้าแม่หนี่วาส่งลงมาบนโลกมนุษย์ ให้สังหารจักรพรรดิโจ้วหวางที่บังอาจพูดจาดูหมิ่นตนในทางลามก พร้อมกับปีศาจอีกสองตนคือ ไก่ฟ้าเก้าเศียร และซอหินหยก

เดิมทีซูต๋าจีเป็นมนุษย์เป็นลูกสาวของเศรษฐีชื่อ ซูฮู่ เป็นสาวสวยหาใครเปรียบได้ยาก มีอยู่วันหนึ่งที่โจ้วหวางต้องการเฟ้นหาสาวงามที่มีใบหน้าสวยงามดั่งเช่นเจ้าแม่หนี่วา ซึ่งก็มาโป๊ะเชะที่ซูต๋าจีนั่นเอง และแล้วนั่นก็เป็นเหตุให้ปีศาจจิ้งจอกได้โอกาสสังหารซูต๋าจีแล้วเข้าสิงร่างของเธอซะ

นับจากวันนั้น ซูต๋าจีก็เปลี่ยนไป เธอใช้มารยาทุกอย่างมัดใจจักรพรรดิโจ้วหวางไว้หมด แล้วในวังก็เริ่มเต็มไปด้วยเหล่าปีศาจเข้ามาแทรกซึมขึ้นเรื่อย ๆ คอยกำกับและยุยงให้โจ้วหวางกลายเป็นผู้นำเจ้าสำราญ เฉลิมฉลองอย่างหรูหราในวัง ก่อสร้างหอคอยสอยดาวที่สูงชะลูดซึ่งมาจากการขูดรีดภาษีประชาชน ใครขัดก็เป็นตายหมดด้วยวิธีอันโหดร้ายต่าง ๆ นา ๆ อันเป็นผลจากคำแนะนำและการเจ้ากี้เจ้าการของซูต๋าจีทั้งสิ้น

เมื่อบ้านเมืองในราชวงศ์ต้าซางกลายเป็นความวุ่นวาย และเหล่าปีศาจร้ายก็เข้ามายึดครองโลกมนุษย์ ก็ร้อนถึงเหล่าเซียนแห่งเขาคุนหลุน ซึ่งตอนนั้นมีประมุขคือปรมาจารย์เต๋าที่ชื่อว่า เหยวียนสื่อเทียนจุน ก็มอบหมายหน้าที่กำจัดต๋าจีและฟื้นฟูบ้านเมืองให้กลับมาเป็นปกติกับศิษย์เอกที่ชื่อ ไท้กงว่าง หรือที่มีชื่อจริงว่า หลี่ว์ส้าง (หรือ เจียงจื่อหยา) เป็นหัวหอกหลักในการรวบรวมกำลังพลพรรคเซียนเต๋าเพื่อจัดการกับต๋าจีซะ

ต๋าจีเมื่อล่วงรู้แผนนี้ก็คอยส่งสมุนปีศาจของตนมารังควาญพวกไท้กงว่างเป็นระยะ ๆ และยังได้ความร่วมมือจากขุนนางหลายฝ่ายที่นิยมจักรพรรดิโจ้วหวางเป็นกำลังสำคัญ ในขณะที่ไท้กงว่างก็ได้รวบรวมพวกพ้องที่เป็นนักพรต จอมยุทธ์ และเหล่าขุนนางที่ปลีกตัวจากราชสำนักมามากมาย โดยมีจีซาง อดีตเจ้าเมืองที่ถูกต๋าจีเล่นพิษการเมืองอย่างรุนแรง เป็นผู้นำฝ่ายมนุษย์ที่อยู่ข้างเดียวกับไท้กงว่าง กรีฑาทัพเพื่อบุกโจมตีมหานครเฉาเกอ แล้วโค่นล้มจักรพรรดิโจ้วหวางเสีย

เรื่องราวบานปลายไปเรื่อย ๆ เมื่อทางฝ่ายเทพและเซียนก็แตกเป็นสองฝ่าย ทางต๋าจีก็มีเหล่าเทพที่ทรงอำนาจเป็นพวกพ้องเยอะมาก การต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และเหล่าเซียนกับเซียนทั้งสองฝ่าย ก็เป็นไปอย่างดุเดือด มีคนล้มตายมากมาย ซึ่งผู้ที่ตายในศึกสงครามนั้นก็จะถูกดึงวิญญาณไปไว้บนหอแต่งตั้งเทพเจ้าที่ปรมาจารย์ เหยวียนสื่อเทียนจุน สร้างไว้

ภายหลัง กองทัพของจีฟา บุตรชายจีซาง ก็นำทัพล้อมนครเฉาเกอไว้ได้สำเร็จ ต๋าจีหมดหนทางสู้ คิดจะกลับไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าแม่หนี่วา แต่ผลก็กลับตาลปัตรเมื่อเจ้าแม่หนี่วาเห็นว่าต๋าจีทำเิกินกว่าเหตุ นำมาซึ่งความหายนะของบ้านเมืองมากมาย จึงส่งต๋าจีกับพวกพ้องให้กับไท้กงว่าง และปีศาจทั้งสามที่เป็นต้นเหตุความวุ่นวายทั้งหมดก็ถูกสำเร็จโทษ ณ ตอนนี้นี่เอง

เรื่องของซูต๋าจีก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้ แต่ก็ใกล้สิ้นสุดเรื่องราวของฮ่องสินด้วย

โจ้วหวางที่สูญเสียทุกสิ่งก็สำนึกได้เมื่อสาย พระองค์จึงเผาตัวตายพร้อม ๆ กับหอคอยสอยดาวเพื่อชดใช้ความผิด จีฟายึดครองเมืองหลวงได้ก็ยกเลิกราชวงศ์ซาง แล้วก่อตั้งราชวงศ์โจวขึ้น สืบทอดสายเลือดต่อไปอีกหลายร้อยปี

ส่วนทางไท้กงว่างและพวกพ้องที่เหลืออยู่ก็กลับไปที่เขาคุนหลุน แล้วเปิดผนึกหอแต่งตั้งเทพเจ้าออกมา เพื่อสร้างระบบของเหล่าเทพเสียใหม่ โดยแต่งตั้งเหล่าวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว และผู้ที่ทำความชอบในศึกครั้งนี้ทั้งหมด ให้เป็นเทพประจำตำแหน่งต่าง ๆ ครบทั้งหมด ซึ่งนั่นก็คือจุดเริ่มต้นทั้งหมดของอาณาจักรสวรรค์ของตำนานจีนที่จะสืบทอดต่อไปในตำนานเรื่องอื่น ๆ 


นายสมภพ จันทรากา

นายสมภพ จันทรากา


นายสมภพฯ เป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นผู้นำที่อุทิศตนเพื่อต่อสู้กับการค้ามนุษย์ อีกทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งศูนย์พัฒนาการศึกษาเพื่อลูกหญิงและชุมชน (Development and Education Program for Daughters and Communities : DEPDC)

เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2551 นายสมภพ จันทรากา ได้รับเหรียญ Wallenberg จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา นายสมภพฯ เป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นผู้นำที่อุทิศตนเพื่อต่อสู้กับการค้ามนุษย์ อีกทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งศูนย์พัฒนาการศึกษาเพื่อลูกหญิงและชุมชน (Development and Education Program for Daughters and Communities : DEPDC) และการดำเนินการของนายสมภพฯ พร้อมกับ DEPDC ทำให้สามารถช่วยเหลือและปกป้องเด็กจำนวนนับพันแถบลุ่มแม่น้ำโขงจากการค้าประเวณีได้ นายสมภพฯ ได้รับการเสนอชื่อรับรางวัลโนเบลมาแล้วถึง 2 ครั้ง และได้รับการยกย่องจากนิตยสารไทม์ว่าเป็นวีรบุรุษแห่งเอเชีย

ในการนี้ เพื่อเป็นการแสดงความชื่นชมและสนับสนุนการเสียสละของนายสมภพฯ และบุคคลอื่น ๆ ที่ทำประโยชน์แก่สังคม นายกฤษณ์ กาญจนกุญชร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอร์ชิงตัน และ นายณรงค์ ศศิธร กงสุลใหญ่ ณ นครชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ร่วมกับชาวไทยในมลรัฐมิชิแกน ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีการมอบเหรียญ ทั้งนี้นายสมภพฯ ยังได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับงานของตนตามประเพณีการมอบรางวัลอีกด้วย

รัฐบาลไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการต่อสู้ภัยการค้ามนุษนย์ภายในประเทศและแถบชายแดนของประเทศ จนได้รับการชื่นชมจากหลายองค์กรว่าไทยเป็นประเทศที่มีการดำเนินการแข็งขังเพื่อแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และเมื่อไม่นานมานี้ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอร์ชิงตัน และกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ กระทรวงการต่างประเทศได้ร่วมกันจัดการประชุมกับนักการเมืองและหน่วยงานสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความตระหนักเกี่ยวกับนโยบายและการดำเนินการของไทยเพื่อแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งความเข้าใจของฝ่ายสหรัฐฯ จะเป็นการย้ำถึงมาตราการด้านการค้าและการเมืองที่สหรัฐฯ ใช้กดดันต่างประเทศ โดยชี้ถึงสภาพการณ์ด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน

Wednesday, August 28, 2013

สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์(พระนางเรือล่ม)

สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์(พระนางเรือล่ม)

ดาวน์โหลดเอกสาร
http://www.mediafire.com/?uhphchlc7wn81ya

Tuesday, August 27, 2013

อาณาจักรโบราณของไทย

อาณาจักรโบราณของไทย

ดาวน์โหลดเอกสาร

...ยังไม่มา

พ่อขุนมังรายมหาราช

พ่อขุนมังรายมหาราช

ดาวน์โหลดเอกสาร
MF - http://www.mediafire.com/?j1r2xs1fjww2nzo

กัปตันเหล็ก(ฟรานซิสไลท์)

กัปตันเหล็ก(ฟรานซิสไลท์)

       กัปตันเหล็ก เป็นพ่อค้าชาวอังกฤษที่เข้ามามีบทบาทในกิจการค้าขายในแถบหัวเมือง มลายู ระหว่างรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทำความดีความชอบ โดยการจัดหาอาวุธปืนมาถวายแก่พระมหากษัตริย์ไทย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น "พระยาราชกปิตัน" บางครั้งจึงเรียกเป็นพระยาราชกปิตันเหล็ก

      กัปตันเหล็ก หรือ ฟรานซิส ไลท์ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2283 ที่เมืองคัลลิงตัน ในซัฟฟอร์ค เคยเป็นนายทหารเรือแห่งราชนาวีอังกฤษ แต่ภายหลังหันมาทำการค้าขาย ได้มาตั้งบ้านเรือน ทำการค้าขายอยู่ที่เกาะถลาง เมื่อประมาณ พ.ศ. 2314 รู้จักสนิทสนมกับพระยาถลางภักดีภูธร และคุณหญิงจันทร์ ทั้งยังเป็นที่รู้จักนับถือของชาวเมืองทั่วไปด้วย ในปีถัดมาก็ได้สมรสกับ มาร์ติน่า โรเซลล์ สตรีเชื้อสายโปรตุเกสไทยและมาเลย์ มีบุตร 5 คน ชื่อ ซาร่าห์ วิลเลียม แมรี่ แอน และฟรานซิส

      ในปี พ.ศ. 2319 กัปตันเหล็กได้ส่งปืนนกสับ เข้ามาถวายสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และภายหลังได้เป็นผู้ติดต่อซื้ออาวุธ ให้แก่ทางราชการ พร้อมๆ กับทำหน้าที่เป็นกำลังสำคัญให้อังกฤษ ได้เจรจากับสุลต่านแห่งไทรบุรี ขอเช่าเกาะปีนังเป็นผลสำเร็จในปี พ.ศ. 2329 จึงได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลอังกฤษ ให้เป็นผู้ว่าราชการเกาะปีนัง และตั้งชื่อเกาะปีนังใหม่ว่า เกาะปริ้นซ์ ออฟ เวลส์ (Prince of Wales Islands) กัปตันเหล็กได้ถึงแก่กรรมใน พ.ศ. 2337


อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1889 เวลา06.30น. ที่เมืองเบราเนา ประเทศออสเตรีย เป็นผู้นำ(ฟือเร่อ)ของประเทศเยอรมนีระหว่างปี (ค.ศ. 1933-1945) และเป็นผู้นำของพรรคกรรมกรสังคมนิยมแห่งเยอรมนี หรือพรรคนาซี(nazi)

ภายใต้การนำของฮิตเลอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพเยอรมันและฝ่ายอักษะ(ญี่ปุ่นและอิตาลี)ได้ยึดครองยุโรปได้เกือบทั้งทวีป ฮิตเลอร์ได้ใช้นโยบายด้านเชื้อชาติฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปอย่างน้อย 11 ล้านคน ซึ่งนับเป็นชาวยิวถึง 6 ล้านคนฮิตเลอร์เปลี่ยนแปลงเยอรมนีจากประเทศผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาเป็นมหาอำนาจของโลก แต่ฝ่ายพันธมิตร นำโดยประเทศแกนนำได้แก่สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต (รัสเซียในปัจจุบัน) สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน แคนาดา สเปน สาธารณรัฐโปรตุเกส ฟิลิปปินส์ สามารถเอาชนะเยอรมนีลงได้ใน พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 ฮิตเลอร์จบชีวิตโดยการยิงตัวตายพร้อมภรรยาชื่อ อีวา บราวน์ซึ่งกินยาพิษเป็นการฆ่าตัวตาย ในหลุมหลบภัยเบอร์ลินเพื่อหนีการถูกจับเป็นเชลย




ที่มา http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=10406.0

Wednesday, August 14, 2013

พระยาพิชัย


พระยาพิชัย

     พระยาพิชัย มีชื่อเดิมว่า จ้อย ต่อมาได้ชื่อว่า "ทองดี" เป็นบุตรชาวนา อยู่บ้านห้วยคา เมืองพิชัย (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุตรดิตด์) ได้ศึกษาวิชามวยกับครูที่มีชื่อหลายคน ออกชกมวย จนมีชื่อเสียง และได้หัดฟันดาบที่สวรรคโลกจนเก่งกล้า
เมื่อมีโอกาสได้ไปเมืองตาก เป็นช่วงที่มีงานถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และมีมวยฉลองด้วยพอดี นายทองดี หรือที่ได้รับสมญาเรียกว่านายทองดีฟันขาว ก็เข้าเปรียบกับมวยชั้นครูและชกชนะสองคนรวด พระเจ้าตากเห็นฝีมือนายทองดีฟันขาวเช่นนั้น ก็ทรงชวนให้ไปอยู่ด้วย ต่อมาได้รับราชการเป็นหลวงพิชัยอาสา

     ในพระราชพงศาวดารได้กล่าวถึงช่วงก่อนสิ้นกรุงศรีอยุธยาว่า เมื่อครั้งพระยาตาก (สิน) ตีฝ่าวงล้อมพม่าออกมา หลวงพิชัยอาสาเป็นกำลังตีฝ่ากองทัพพม่าออกไปด้วย
หลังจากที่ซ่องสุมผู้คน และเตรียมกำลังรบอยู่ที่เมืองจันทบุรี จนพอเหมาะแก่การรุกไล่ทัพพม่าแล้ว พระเจ้าตากจึงยกกองทัพเรือขึ้นมาตีเมืองธนบุรีได้ แล้วให้หลวงพิชัยอาสา เป็นทัพหน้ายกขึ้นไปตีค่ายโพธิ์สามต้นได้สำเร็จ ครั้นเมื่อพระเจ้าตากได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้หลวงพิชัยอาสาเป็นเจ้าหมื่นไวยวรนาถ ทหารเอกราชองครักษ์

     ตลอดระยะเวลาที่ทำสงครามปราบชุมนุมต่าง ๆ เพื่อรวมไทยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น หลวงพิชัยอาสาหรือเจ้าหมื่นไวยวรนาถ ได้ถือดาบออกหน้าทหารอย่างกล้าหาญสู้อย่างเต็มความ สามารถ จนได้เลื่อนเป็นพระยาสีหราชเดโช และเป็นพระยาพิชัยได้ครองเมืองพิชัยในที่สุด

     เมื่อพระยาพิชัยเป็นเจ้าเมืองพิชัยอยู่นั้น โปสุพลาได้ยกทัพลงมาตีเมืองพิชัย คราวนั้นพระยาพิชัย ได้ถือดาบสองมือ คุมทหารออกต่อสู้ป้องกันพม่าจนดาบหัก เป็นที่เลื่องลือจนได้นามว่า "พระยาพิชัยดาบหัก" ชีวิตราชการของพระยาพิชัยดาบหักน่าจะรุ่งเรือง และเป็นกำลังป้องกันบ้านเมือง ได้เป็นอย่างดีในแผ่นดินต่อมา หากแต่พระยาพิชัยดาบหักเห็นว่าตัวท่าน เป็นข้าหลวงเดิมของพระเจ้าตาก เกรงว่านานไปจะเป็นที่ระแวงของพระเจ้าแผ่นดิน และจะหาความสุขได้ยาก ประกอบกับมีความเศร้าโศกอาลัย ในพระเจ้าตากอย่างมาก จึงได้กราบทูลว่าจะขอตายตามสมเด็จพระเจ้าตาก ดังนั้นจึงได้ถูกประหารชีวิต เมื่ออายุได้ 41 ปี พระยาพิชัยดาบหัก เป็นต้นตระกูล วิชัยขันธะ

อาร์คิมิดีส


 อาร์คิมิดีส

              อาร์คิมิดีส (ภาษากรีก: Αρχιμήδης) นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักปรัชญา นักฟิสิกส์ และวิศวกรชาวกรีก เกิดเมื่อ 287 ปีก่อนคริสตกาล ในเมืองไซราคัส ซึ่งในเวลานั้นเป็นนิคมท่าเรือของกรีก บิดาเป็นนักดาราศาสตร์ ชื่อฟิดิอัส และอาจเป็นญาติกับพระเจ้าไฮเออรอนที่ 2 แห่งไซราคัส นักประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์บางท่านถือว่าอาร์คิมิดีสเป็นนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เทียบเท่ากับ นิวตัน เกาส์ และ ออยเลอร์

ประวัติ

อาร์คิมิดีสน่าจะได้รับการศึกษาในเมืองอเล็กซานเดรีย ของอียิปต์ โดยได้ศึกษากับศิษย์ของยุคลิด เมื่อกลับมาบ้านเกิด ก็ได้พัฒนาความรู้ทั้งด้านคณิตศาสตร์ เรขาคณิต และกลศาสตร์ ด้วยความปราดเปรื่อง และมีส่วนช่วยในการสร้างยุทโธปกรณ์ของกองทัพได้อย่างมาก ประวัติอื่นๆ ของอาร์คิมิดีสแม้จะเล่าไว้หลายกระแส แต่ก็ไม่มีการยืนยันอย่างชัดเจน ที่ยืนยันได้ก็คือ หลักการทางคณิตศาสตร์ที่ปรากฏในตำรา และการอ้างอิงของนักปราชญ์ชั้นหลัง แต่ก็ไมได้เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวเท่าใดนัก

สิ่งประดิษฐ์

ผู้คนส่วนมากจดจำอาร์คิมิดีสได้ดี จากเรื่องที่เขาลงอ่างอาบน้ำ แล้วนำหลักการแทนที่น้ำไปใช้พิสูจน์มงกุฎของพระราชาไฮเออรอนได้ และนั่นก็คือผลงานที่สำคัญชิ้นหนึ่งของเขา ภายหลังเรียกว่า หลักการอาร์คิมิดีส (Archimedes' principle) โดยมีหลักการคร่าวๆ คือ ปริมาตรของน้ำที่ล้นออกมา เท่ากับปริมาตรของวัตถุที่ใส่ลงไปในน้ำนั้น

ผลงานอีกชิ้นที่ใช้กันมาจนทุกวันนี้ ก็คือเกลียวอาร์คิมิดีส (Archimedes' screw) เป็นอุปกรณ์ช่วยผันน้ำขึ้นจากที่ต่ำ โดยอาศัยเกลียวยาวบรรจุในท่อ หมุนพาน้ำขึ้นไปยังปากท่อ

ตำรา

ผลงานที่สำคัญของอาร์คิมีดิสมีด้วยกันหลายเล่ม โดยมากเป็นเรื่องของเรขาคณิตและกลศาสตร์ ในทีนี้ขอยกตัวอย่างมาเพียงบางส่วน ดังนี้
· ว่าด้วยทรงกลมและทรงกระบอก (On Connoids and Spheroids) เขียนไว้สองเล่ม กล่าวว่า พื้นที่ของผิวทรงกลมใดๆ มีค่าเป็น 4 เท่าของพื้นที่วงกลมที่ใหญ่ที่สุดที่บรรจุในทรงกลมนั้น และปริมาตรของทรงกลมเป็น 2/3 เท่าของปริมาตรทรงกระบอกที่สูงเท่ากัน
· การวัดวงกลม (Measurement of the Circle) เป็นงานสั้นๆ กล่าวถึงค่าพาย (pi) ซึ่งเป็นอัตราส่วนของเส้นรอบวง ต่อเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลม ว่ามีค่าอยู่ระหว่าง 3 1/7 – 3 10/71 อาร์คิมิดีสใช้รูปทรงหลายเหลี่ยม เพื่อหาค่าพาย จนมีการพัฒนาเรื่องอนุกรมขึ้นในปลายคริสตศตวรรษที่ 17 ผลงานชิ้นนี้ยังแสดงค่าประมาณที่แม่นยำของ รากที่สอง ของ 3 และค่ารากที่สองของเลขอื่นๆ อีกหลายจำนวน
· ว่าด้วยทรงกรวย และทรงกลม (On Connoids and Spheroids) เกี่ยวกับการพิจารณาปริมาตรของเสี้ยวทรงตัน ที่เกิดจากการหมุนภาคตัดกรวย (วงกลม วงรี พาราโบลา หรือ ไฮเพอร์โบลา) รอบแกนของตัวเอง ปัจจุบันนี้เราถือว่านี่เป็นปัญหาการใช้อินทีเกรชั่น
· ว่าด้วยเส้นเกลียว (On Spirals) อาร์คิมิดีสบรรยายถึงโลคัสของจุดที่เคลื่อนที่ (ด้วยความร็วคงที่)ไปตามแนวเส้นตรง (ที่กำลังหมุนรอบตัวเองอยู่ด้วยความเร็วคงที่) ณ จุดใดๆ
· ว่าด้วยดุลยภาพของระนาบ (On the Equilibrium of Planes) หรือ จุดศูนย์ถ่วงของระนาบ (Gravity of Planes) เขียนไว้สองเล่ม กล่าวถึงการศูนย์กลางของแรงโน้มถ่วงของระนาบตรงใดๆ เล่มแรกกล่าวถึงกฎของคาน (ความสูงบนคานที่ระยะไกลจากจุดหมุน เป็นอัตราส่วนผกผันกับน้ำหนัก) จากผลงานดังกล่าวทำให้อาร์คิมิดีสได้รับการยกย่องเป็นผู้วางรากฐานวิชากลศาสตร์ทฤษฎี (Theoretical Mechanics)
· เสี้ยวของพาราโบลา (Quadrature of the Parabola) ตอนแรกว่าด้วยเรื่องกลศาสตร์ และจากนั้นเป็นการคำนวณว่าพื้นที่ของส่วนใดๆ ของพาราโบลา จะเท่ากับ 4/3 ของพื้นที่สามเหลี่ยม ที่มีตำแหน่งและความสูงเท่ากับส่วนเสี้ยวนั้น
· นักคำนวณทราย (The Sand-Rekoner) เป็นตำราสั้นๆ อธิบายระบบความคิดเรื่องจำนวนของกรีก แสดงวิธีการนับจำนวนที่มีค่ามากๆ เช่น นับเม็ดทรายที่จะถมจนเต็มจักรวาล ทั้งยังได้พิจารณาเส้นผ่าศูนย์กลางของพระอาทิตย์ โดยการสังเกตด้วยเครื่องมือ
· วิธีการอันเกี่ยวกับทฤษฎีบทกลศาสตร์ (Method Concerning Mechanical Theorems) ว่าด้วยกระบวนการค้นพบในทางคณิตศาสตร์ เล่าถึงการใช้วิธีการเชิงกลศาสตร์ในการค้นหาคำตอบ เช่น พื้นที่ของเสี้ยวพาราโบลา รวมทั้งพื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกลม
· ว่าด้วยเทหวัตถุลอย (On Floating Bodies) นับเป็นงานชิ้นแรกที่ว่าด้วยเรื่องไฮโดรสแตติกส์ กล่าวว่าตำแหน่งที่ของแข็งจะปรากฏเมื่อลอยอยู่ในของเหลว จะขึ้นกับรูปร่างและการแปรเปลี่ยนตามความถ่วงจำเพาะ

              อาร์คิมิดีสได้เขียนตำราไว้มาก แต่หลงเหลือต่อมาเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น เราทราบได้จากคำกล่าวอ้างอิงในผลงานของนักปราชญ์ท่านอื่นๆ หลังอาร์คิมิดีสไม่มากนัก เช่น การแก้โจทย์ที่มีตัวแปรที่ไม่ทราบถึง 8 ตัว หรือการเขียนสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบ่งเป็น 14 ส่วน เพื่อเล่นเกมบางอย่าง นอกจากนี้ยังมีผลงานบางชิ้นที่มีการแปลออกเป็นภาษาอาหรับด้วย แม้จะไม่ปรากฏชื่ออาร์คิมิดีส ก็เชื่อได้ว่ามีเค้าความคิดของท่านอยู่ชัดเจน
              ผลงานของอาร์คิมิดีสเริ่มปรากฏแพร่หลายเมื่อคริสตศตวรรษที่ 16-17 และสะท้อนอยู่ในผลงานของนักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงหลายท่าน เช่น เคปเลอร์ และกาลิเลโอ แม้กระทั้งในสมัยหลัง ก็ยังมีอิทธิพลต่อนักคณิตศาสตร์หลายท่าน โดยเฉพาะ เรอเน เดส์การตส์ และ ปิแยร์ เดอ แฟร์มาต์ นับว่าอาร์คิมิดีสมีส่วนอย่างมากในการปูพื้นความรู้ทางคณิตศาสตร์แก่โลกยุคใหม่
อาร์คิมิดีสเสียชีวิตในราว 212-211 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีประวัติเล่าไว้ในแน่ชัด ในบ้านเกิดของตน มีประวัติเล่าว่าทหารโรมันคนหนึ่งใช้ดาบสังหารอาร์คิมิดีสจนเสียชีวิต เนื่องจากไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของตน